Norwegian Shoe จากร้าน Bell Shoe

Derby มีลักษณะด้านข้างไม่เหมือนกับทรง Blucher เนื่องจากมีการใช้แผ่นหนังหลายชิ้น

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับรองเท้า Derby ก่อนครับ รองเท้าทรง Derby นั้น เป็นรองเท้าที่มีระดับความทางการที่น้อยกว่า Oxford ครับ เนื่องจากลิ้นของรองเท้า (ส่วนที่อยู่ใต้เชือก) จะเปิดถูกเผยออกมา (ซึ่งปกปิดหลังเท้าน้อยกว่า Oxford ที่เป็นระบบลิ้นปิด ซ่อนอยู่ด้านใน) ทำให้ระดับความทางการน้อยกว่า Oxford น่ะครับ แต่รองเท้าทรง Derby ก็ยังถูกเข้าใจผิดกับรองเท้าทรง Oxford อยู่เสมอครับ

รอยเย็บหลังเท้ามีการให้มีรูปทรงคล้ายตัว V หรือตัว U ตามการออกแบบของช่าง

ส่วนหัวรองเท้า หรือที่เรียกว่า Split Toe นั้นไม่ใช่หนังแผ่นเดียวกัน แต่จะมีการเชื่อมกันด้วยการเย็บจากหนัง 2 แผ่นต่อเข้าด้วยกัน บนหลังเท้าจะมีชื่อที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหลังเท้าเป็นปลายแหลมๆ เรียกว่า V-tip ถ้าหลังเท้าเป็นมุมฉาก เรียกว่า U-tip (ตัวอย่างเป็น U-tip นะครับ)​ การตัดเย็บนี้ใช้ช่างที่มีฝีมือ และความปราณีต เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะเลยครับ

จุดเด่นของ Split Toe Derby คือ

1. ความเท่ล้วนๆ ถ้าใส่คู่นี้ จะไม่ซ้ำใครง่ายๆครับ ทรงออกแนววินเทจ และคูลมาก เป็นทรงอมตะที่ใส่กันทั่วโลก 
2. เหมาะกับกางเกงยีนส์ กางเกงชิโน่ และกางเกงคาร์โก้ ซึ่งเป็นกางเกงที่เน้นไปทางแนวลุย และแนว Casual มากกว่าการใส่กับสูทครับ
3. แข็งแรง ทนทาน ด้วยการตัดเย็บแบบพิเศษที่อยู่บนหลังเท้า ช่วยตรึงรองเท้าให้คงรูปสวยงามและแข็งแรง

ด้านหลังของ Norwegian Shoe

ข้อด้อยของ Split Toe Derby ก็คือ

1. ไม่เป็นทางการ เพราะทรงนี้เน้นความแข็งแรง และความสวยงาม การใส่ไปงานทางการอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ครับ จับคู่กับชุดทำงานก็จะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง มีโอกาสพลาดได้ง่าย
2. ไม่กันสิ่งสกปรก เนื่องจาก มีรอยเดินตะเข็บบนรองเท้ามากกว่าปกติ น้ำอาจซึมเข้ามาได้หากลุยน้ำ ควรลงแวกซ์เพื่อเป็น “Water-proof” หรืออาจใช่เสปรย์กันน้ำฉีดเพื่อป้องกันน้ำซึมครับ
3. ลวดลาย U-tip และ V-tip อาจจะดูเยอะไป ทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะใส่รองเท้าทรงนี้ ในประเทศไทยมีคนใส่น้อย และช่างทำทรงนี้ก็น้อยเช่นกัน

หนัง Shell Cordovan จะสะท้อนแสงวาววับมากเมื่อโดนแสงแดด