วิธีการดูแลรองเท้าหนัง “พื้นหนัง” หรือ “พื้นไม้” ในช่วงฤดูฝน

by - ธันวาคม 08, 2561

Penny Loafer จากแบรนด์ Tommy Hifilger
ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่คนรักรองเท้าหนังค่อนข้างจะต้องเหนื่อยกับการดูแลรองเท้าเป็นพิเศษ เนื่องจากน้ำฝนที่กระจายตามพื้นถนน ไม่เป็นมิตรกับรองเท้าหนังของเราเท่าไหร่ รองเท้าหนังของเราอาจจะอายุสั้นลงอย่างรวดเร็วถ้าเราดูแลไม่ค่อยเหมาะสม ยิ่งเป็นรองเท้าพื้นหนังแล้วล่ะก็ ดูแลพิเศษกว่ารองเท้าพื้นยางแน่นอน

วัสดุที่ใช้สำหรับทำพื้นของรองเท้าหนัง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
  1. พื้นหนัง (Leather sole) ซึ่งทำมาจากแผ่นหนังเกรดที่ใช้สำหรับทำพื้นโดยเฉพาะ (บางแบรนด์อาจจะใช้ไม้มาทดแทน แต่คุณสมบัติใกล้เคียงกับพื้นหนัง) ข้อดีของรองเท้าหนังพื้นหนัง คืออายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และดูหรูหรากว่ารองเท้าพื้นยาง ให้ความรู้สึกสวยงามแบบคลาสสิค แต่ก็ลื่น ไม่เกาะถนน หากโดนน้ำจะทำให้เสียหายได้ไว
  2. พื้นยาง (Rubber sole) มีความสามารถในการยึดเกาะพื้นถนนได้ดี เดินแล้วไม่ลื่นเมื่อฝนตก ยืดหยุ่น ไม่แข็งมากเกินไป แต่อายุการใช้งานสั้นกว่าพื้นหนัง หากยางหมดอายุจะแข็งตัวและหักเวลาใช้งานได้
การเลือกวัสดุของพื้นรองเท้าหนัง ควรเลือกให้เหมาะกับชีวิตประจำวันและสไตล์การแต่งตัวของคุณเป็นหลักครับ

พื้นไม่ที่ผ่านการใช้งานมาสักระยะ จะมีการถลอกจนถึงรอยตะเข็บ
สิ่งที่เราจะต้องดูแลเพิ่มเติมเมื่อเราใช้รองเท้าพื้นหนัง คือ
  • หากโดนน้ำมากๆ จะทำให้เสียหายได้ เนื่องจากรองเท้าพื้นหนังทำมาจากวัสดุธรรมชาติ เมื่อเกิดการดูดซับน้ำเข้าไป และดูแลผิดวิธี จะทำให้น้ำซึมเข้าตามตะเข็บจนแผ่นพื้นรองเท้าด้านในพัง หรือบางกรณีอาจมีราขึ้นบนพื้นรองเท้าได้ ทำให้เนื้อวัสดุเสียหายและมีรอยด่างดำดูสกปรก
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ผิวหนัง อาจทำให้เกิดร่องรอยทิ้งไว้มากกว่าพื้นยาง เมื่อรองเท้าพื้นหนังโดนน้ำ และเราเหยียบเศษหินในระหว่างการเดิน หินจะฝังเข้าไปข้างในขณะไม้นุ่มๆ ส่งผลให้พื้นเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ
พื้นหนังที่ลงไขปลาวาฬแล้วจะไม่ซับน้ำเข้าไปจนเสียหาย
การดูแลรองเท้าพื้นหนังหลังฝนตก ควรทำอย่างไร

1. เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบทำความสะอาดพื้นหนังทันที ผมจะใช้วิธีเอาแปรงขนแข็ง ขัดพื้นรองเท้าเพื่อกำจัดเศษหินและทรายออกไปให้หมดก่อน และควรจำความสะอาดรองเท้าด้วยผ้าสะอาดด้วย

ทิ้งรองเท้าให้แห้งแบบตะแคงข้างเพื่อให้พื้นรองเท้าแห้งง่ายขึ้น
2. ตากรองเท้าให้แห้งด้วยวิธีการวางตะแคง เพราะการวางรองเท้าตามปกติ จะส่งผลให้พื้นรองเท้าไม่ได้ระบายอากาศ เชื้อราอาจโตบนพื้นหนังได้ (ผมเคยทิ้งไว้จนราดำขึ้น ไม่สามารถทำความสะอาดออกไปให้หมดได้จนต้องเอาสีมาทาทับเท่านั้น)

ทาไขปลาวาฬลงบนพื้นหนังเพื่อบำรุงหนังให้แข็งแรงและกันน้ำได้
3. เมื่อพื้นรองเท้าแห้ง ขัดพื้นรองเท้าเพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วลงมิงค์ออย หรือไขปลาวาฬ เพื่อทำให้พื้นหนังของเรากลับมายืดหยุ่น ฟื้นฟูสภาพหนัง และป้องกันน้ำได้ในการใช้ครั้งต่อไป

ใช้สีทาขอบรองเท้าเพื่อที่จะทำให้ขอบรองเท้าดูใหม่
วิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงพื้นหนัง
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของพวกน้ำมัน (เนื้อเหลว) อาจใช้แวกซ์ร่วมด้วยได้เช่นกัน แต่ถ้าหากลงมากไปจะทำให้พื้นรองเท้าลื่นมากๆ

คลีนชูส์ ของดีราคาถูก
Saphir ของดีราคาแพง
  • ใช้ผ้าจุ่มเนื้อผลิตภัณฑ์ขึ้นมาครั้งละประมาณเม็ดถั่วเขียว แล้วค่อยๆเกลี่ยทาลงบนพื้นจนทั่ว ในส่วนของรอยตะเข็บ ควรอัดเนื้อผลิตภัณฑ์ลงไปให้เต็ม เพื่อกันน้ำซึมเข้ารองเท้า
  • ทิ้งไว้ให้แห้งด้วยการวางรองเท้าตะแคงข้างเอาไว้อย่างน้อย 2–3 ชั่วโมง
  • หากต้องการลงซ้ำเพื่อเพิ่มการกันน้ำให้มากขึ้น ควรทาให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 1 วันก่อนจะนำไปใช้

การดูแลรองเท้าพื้นหนังในระยะยาว
  • กรณีที่แล้วไม่มีโอกาสดูแลรองเท้าเราบ่อยๆ เราสามารถนำรองเท้าของเราไปติดแผ่นกันลื่นได้ แผ่นยางกันลื่นจะช่วยป้องกันน้ำและทำให้รองเท้าเกาะถนนได้ดี (ผมแนะนำแผ่นกันลื่นแบรนด์ Vibram เพราะเกาะถนนดีมากแล้วมีความแข็งแรง)
  • กรณีที่ชอบพื้นหนัง ควรทำการดูแลตามขั้นตอนนี้อย่างน้อยทุก 2–3 เดือน หรืออาจบ่อยกว่านั้น หากใช้รองเท้าบ่อยมากๆจนพื้นสึก ควรไปเปลี่ยนพื้นรองเท้า ปัจจุบันมีร้านรับเปลี่ยนพื้นรองเท้ามากขึ้น ไว้ผมจะมาแนะนำอีกที
เป็นอย่างไรกันบ้างครับทุกคน รองเท้าพื้นหนังไม่ได้ดูแลยากเลยครับ เพียงแค่เราหมั่นทำความสะอาดหลังจากตากฝน และลงไขปลาวาฬสักหน่อยเพื่อเป็นการป้องกันน้ำเข้า แค่นี้ รองเท้าก็จะอยู่กับเราไปอีกหลายปีครับ

You May Also Like

0 ความคิดเห็น